วัฒนธรรมในการไหว้

มารยาทในการพบปะสมาคม
ในสังคมที่สำคัญมีดังนี้
1. การรู้จักวางตน ต้อง เป็นคนมีความอดทน มีความสงบเสงี่ยม ไม่แสดงกิริยาก้าวร้าว
อวดรู้ อวดฉลาด อวดมั่งมี และไม่ควรตีตัวเสมอผู้ใหญ่
แม้ว่าจะสนิทสนมหรือคุ้นเคยกันสักปานใดก็ตาม
2. การรู้จักประมาณตน มี ธรรมของคนดี 7 ได้แก่ รู้จัก เหตุผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน และบุคคล โดยไม่ทำตัวเองให้เด่น เรียกร้องให้คนอื่นสนใจ หรือสร้างจุดสนใจในตัวเรามากเกินไป ตัวอย่าง คำเตือนของหลวงวิจิตรวาทการที่กล่าวไว้ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน”
2. การรู้จักประมาณตน มี ธรรมของคนดี 7 ได้แก่ รู้จัก เหตุผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน และบุคคล โดยไม่ทำตัวเองให้เด่น เรียกร้องให้คนอื่นสนใจ หรือสร้างจุดสนใจในตัวเรามากเกินไป ตัวอย่าง คำเตือนของหลวงวิจิตรวาทการที่กล่าวไว้ว่า “จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน”
3. การรู้จักการพูดจา ต้อง ไม่ทักทายปราศรัยกับคนด้วยคำพูด ที่จะทำให้คนเขาเกิดความอับอายในสังคม
และไม่คุยเสียงดัง หรือยักคิ้วหลิ่วตาทำท่าทางประกอบจนทำให้เสียบุคลิกภาพได้
4. การรู้จักควบคุมอารมณ์ คือ รู้จักข่มจิตของตน ไม่ใช่อารมณ์รุนแรง
เพื่อไม่ให้ล่วงสิ่งที่ไม่ควรล่วง ได้แก่ การข่มราคะ โทสะ โมหะ
ไม่ให้กำเริบเป็นคุณลักษณะที่สำคัญ อย่างหนึ่ง คือ รู้จักข่มอารมณ์ต่าง ๆ
ไม่ทำลายข้าวของ ไม่พูด และแสดงกิริยาประชดประชัน หรือส่อเสียด
5. การสำรวมกิริยาเมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่ ขณะ ที่เดินผ่านผู้ใหญ่ให้ก้มตัวพองาม
หรือหากผู้ใหญ่กำลังเดินไม่ควรวิ่งตัดหน้า ควรหยุดให้ผู้ใหญ่เดินไปก่อน
หรือไม่ควรเดินผ่านกลางขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูดกัน
6. การรู้จักควบคุมอิริยาบถ ถือเป็นคุณสมบัติที่ดี เช่น เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงก็ไม่ควรเขย่าตัว
กระดิกเท้า หรือเคาะจังหวะโดยไม่เลือกสถานที่ ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้
ถือว่าเป็นอาการของคนที่ไม่ควบคุมอิริยาบถ และไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ
7. ความมีน้ำใจไมตรีอันดีต่อกัน การ อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขด้วยความรักและเข้าใจกัน
ควรมีความเอื้ออาทร มีน้ำใจไมตรีต่อกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
มีความเห็นอกเห็นใจ เอาใจใส่ทุกข์สุขของผู้เกี่ยวข้อง มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน
ที่สำคัญคือมีน้ำใจในการช่วยเหลือ หรือช่วยทำประโยชน์ให้แก่สังคม
8. การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นคุณธรรมชั้นสูงของการอยู่ร่วมกันในสังคม ลูกเสือ เนตรนารี
ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์มีอุดมการณ์สำคัญคือ “การช่วยเหลือผู้อื่น” พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นปัจฉิมโอวาท ความว่า “จงยังประโยชน์ตน
และประโยชน์ผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด” การ ยังประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
หรือการปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อประโยชน์ส่วนรวม สังคมจะมีสันติสุข
คือ มีความสงบสุข ถ้าบุคคลในสังคมรู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น
มีความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
ลักษณะการแสดงความเคารพด้วยการไหว้ ที่เป็นมารยาทในสังคมที่ควรปฏิบัติกัน คือ
- การประนมมือ (อัญชลี) เป็น การแสดงความเคารพ โดยการประนมมือให้นิ้วมือทั้งสองข้างชิดกัน ฝ่ามือทั้งสองประกบเสมอกันแนบหว่างอก ปลายนิ้วเฉียงขึ้นพอประมาณ แขนแนบตัวไม่กางศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือนี้ ใช้ในการสวดมนต์ ฟังพระสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนา ขณะสนทนากับพระสงฆ์ รับพรจากผู้ใหญ่ แสดงความเคารพผู้เสมอกัน และรับความเคารพจากผู้อ่อนอาวุโสกว่า เป็นต้น
ลักษณะการแสดงความเคารพด้วยการไหว้ ที่เป็นมารยาทในสังคมที่ควรปฏิบัติกัน คือ
- การประนมมือ (อัญชลี) เป็น การแสดงความเคารพ โดยการประนมมือให้นิ้วมือทั้งสองข้างชิดกัน ฝ่ามือทั้งสองประกบเสมอกันแนบหว่างอก ปลายนิ้วเฉียงขึ้นพอประมาณ แขนแนบตัวไม่กางศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือนี้ ใช้ในการสวดมนต์ ฟังพระสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนา ขณะสนทนากับพระสงฆ์ รับพรจากผู้ใหญ่ แสดงความเคารพผู้เสมอกัน และรับความเคารพจากผู้อ่อนอาวุโสกว่า เป็นต้น
- การไหว้ (วันทนา) เป็นการแสดงความเคารพ โดยการประนมมือ
แล้วยกมือทั้งสองขึ้นจรดใบหน้าให้เห็นว่า เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง
การไหว้แบบไทย แบ่งออกเป็น 3 แบบ ตามระดับของบุคคล
- ระดับที่ 1 การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยประนมมือแล้วยกขึ้น พร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วแนบส่วนบนของหน้าผาก
- ระดับที่ 2 การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้อาวุโส ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพนับถือ โดยประนมมือ แล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วแนบระหว่างคิ้ว
- ระดับที่ 3 การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้มีอาวุโสสูงกว่าเล็กน้อย โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วแนบปลายจมูก
อนึ่ง
- ระดับที่ 1 การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยประนมมือแล้วยกขึ้น พร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วแนบส่วนบนของหน้าผาก
- ระดับที่ 2 การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้อาวุโส ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพนับถือ โดยประนมมือ แล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลง ให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วแนบระหว่างคิ้ว
- ระดับที่ 3 การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้มีอาวุโสสูงกว่าเล็กน้อย โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วแนบปลายจมูก
อนึ่ง
สำหรับ หญิงการไหว้ทั้ง 3 ระดับ
อาจจะถอยเท้าข้างใดข้างหนึ่งตามถนัดไปข้างหลังครึ่งก้าว
แล้วย่อเข่าลงพอสมควรพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ก็ได้
โดยปกติวัฒนธรรมการไหว้เป็นวิถี ชีวิต ที่ถูกปลูกฝังให้รู้จักกาลเทศะ รู้จักการเคารพผู้อาวุโส กตัญญูรู้บุญคุณ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมีมารยาทในสังคมดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะในเรื่องการเคารพผู้อาวุโส ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงความเคารพในโอกาสต่าง ๆ การรู้จักจัดลำดับการวางตนที่ถูกต้อง ตามประเพณีที่วางเอาไว้ ทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม เพราะการปฏิบัติขัดกับประเพณีที่วางไว้ จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขัดเคืองความรู้สึกซึ่งกันและกัน การมีกฎเกณฑ์มารยาทในสังคม เป็นบรรทัดฐานให้บุคคลดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข
เรื่องที่ต่อจากการยิ้ม
ที่ผู้เขียนยังต้องการเห็นและฝากไว้กับผู้อ่าน,เยาวชนรุ่นหลัง
ก็คือ "เรื่องการไหว้" ถ้าถามต่อว่า
จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องไหว้ ผู้เขียนตอบได้อย่างเต็มปาก...ว่า "จำเป็น" และก็จำเป็นอย่างมากด้วย เนื่องจากเราเป็นคนไทย
วัฒนธรรมไทยเราตั้งแต่บรรพบุรุษมาถึงรุ่นเราและรุ่นลูก รุ่นหลาน แถมจะรุ่นเหลน
ก็ยังควรที่ต้องรักษาไว้ซึ่ง "เรื่องการไหว้"
ในสังคมปัจจุบัน ผู้เขียนทราบดีว่าสังคมครอบครัว
นั้นเรียกว่า พ่อ-แม่ เหมือนอยู่ห่างไกลกับลูกมาก
บางครั้งอยู่ด้วยกันแทบจะไม่มีเวลาที่จะบอก หรือสั่งสอน
จะสาเหตุด้วยว่าเหนื่อยจากการทำงาน ไม่มีเวลา นึกไม่ออก
เนื่องจากเป็นครอบครัวที่ต้องทำมาหากิน แตกต่างกับสังคมครอบครัวในสมัยก่อน
ที่เป็นครอบครัวใหญ่ จะมี ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา คอยดูแล คอยบอกกล่าว
อบรมลูกหลานแต่สมัยปัจจุบันจะเป็นสังคมครอบครัวเล็กกว่าสมัยก่อน จะมีแค่ครอบครัว
พ่อ - แม่ - ลูก จะอะไรก็สุดแล้วแต่ ผู้เขียนได้มองเห็นสภาพปัจจุบันในสังคมไทย
สิ่งหนึ่งที่จะเลือนหายไปจากสังคมไทย นั่นคือ "การไหว้" ซึ่งเป็นวัฒนธรรม
ของเมืองไทย เป็นเอกลักษณ์อีกเรื่องหนึ่งที่มาคู่กับเรื่อง "การยิ้ม" ผู้เขียนไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะปัจจุบันเรารับวัฒนธรรมตะวันตกมามากเกินไปหรือเปล่า
ผู้เขียนคิดว่าประเทศไทยเรา น่าจะควรรักษาไว้เกี่ยวกับเรื่อง "การไหว้"เพราะทำให้ผู้พบเห็น
ชื่นชม ชมเชย เป็นการแสดงกิริยาที่อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นกิริยาที่งดงาม อ่อนช้อย
ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ๆ
จากที่ผู้เขียนได้ทำงานที่มหาวิทยาลัย
เคยสังเกตเจ้าหน้าที่ บุคลากรที่ทำงานหลาย ๆ ท่าน
บางท่านก็แสดงการไหว้อย่างชัดเจนว่าออกมาจากใจ แต่บางท่านแสดงแบบขอไปที
(เหมือนไม่เต็มใจ เหตุที่ต้องทำเพราะหน้าที่)
ซึ่งผู้เขียนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เพราะการไหว้ต้องออกมาจากจิตใจเรา
ต้องการให้คิดว่า การไหว้ เป็นการแสดงให้เกียรติซึ่งกันและกัน
จะเป็นการไหว้ด้วยเหตุอาวุโส วัยวุฒิ คุณวุฒิ การทักทายกัน ควรออกมาจากใจ ผู้เขียนเห็นบางคนแทบจะเดินชนกัน ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ไหว้ก็ไม่ไหว้
มันเรื่องอะไรกันนักหนา อยากเดินเข้าไปถามว่าครอบครัวขาดความอบอุ่นหรือไร
เป็นคนไทยหรือเปล่าจัง แต่ก็ไม่กล้า กลัวเขาตอกกลับ เพราะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล
แต่ผู้เขียนต้องการฝากไว้กับเยาวชนรุ่นหลัง ๆ ว่า "เรื่องการไหว้"เป็นเรื่องดีที่เราเป็นคนไทย
เราควรต้องรักษาไว้ เป็นมารยาทของคนไทย เป็นเอกลักษณ์ไทย เป็นสิ่งที่ดี อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เราควรรักษาไว้ อย่าให้การแสดงเรื่องนี้ไปเป็นของประเทศอื่น
ที่เขาทำ
และเขาทำได้อย่างจริงจัง...มันจะกลายเป็นว่า...คนไทยไม่รู้จักรักษาของ...ปล่อยให้ประเทศอื่นเขาเอาไปเป็นเอกลักษณ์ของเขา
โดยปกติวัฒนธรรมการไหว้เป็นวิถี ชีวิต ที่ถูกปลูกฝังให้รู้จักกาลเทศะ รู้จักการเคารพผู้อาวุโส กตัญญูรู้บุญคุณ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมีมารยาทในสังคมดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะในเรื่องการเคารพผู้อาวุโส ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน การแสดงความเคารพในโอกาสต่าง ๆ การรู้จักจัดลำดับการวางตนที่ถูกต้อง ตามประเพณีที่วางเอาไว้ ทำให้เกิดความสงบสุขในสังคม เพราะการปฏิบัติขัดกับประเพณีที่วางไว้ จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ขัดเคืองความรู้สึกซึ่งกันและกัน การมีกฎเกณฑ์มารยาทในสังคม เป็นบรรทัดฐานให้บุคคลดำเนินชีวิตได้อย่างสันติสุข